ความคิดในทางการออกแบบสถาปัตยกรรม และการศึกษาก็มาขยาย ผลต่อในระบบการศึกษาของอเมริกา แทนระบบการศึกษาสถาปัตยกรรมเดิม คือ Beaux-Arts โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาดนำโดย Walter Gropius และมหาวิทยาลัย IIT (Illinois Institute of Technology) นำโดย Ludwig Mies Van de Rohe เป็นต้น ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดแบบทันสมัย.. Modernism สำหรับสถาปัตยกรรมจนถึง ยุค late 60's ก็ว่าได้ แล้วระบบการศึกษาของ Bauhaus นี้ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลแผ่ขยายมากับท่านอาจารย์เก่าๆของเรามาสิ่งสถิตอยู่คณะนี้ต่อจากที่การศึกษาแบบ Beaux-Arts ที่นำมาโดยท่านอาจารย์นารถ โพธิประสาท ผู้ก่อตั้งคณะนี้ซึ่งโดนดับรัศมีไปตามกาลเวลาก็เล่ามาเป็นสังเขป ลองไปตรวจสอบกันเองในหนังสือดังกล่าว ตั้งแต่หน้า 477 แล้วกันนะครับ หรืออ่านหนังสือประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ตะวันตก ทั้งของท่านอาจารย์ ดร. วิจิตร เจริญภักดิ์ และ ท่านอาจารย์ มล. ประทีป มาลากุล เรียบเรียงเป็นภาษาไทย ก็น่าจะมีกล่าวเรื่องนี้เหมือนกัน | |
ข้อความข้างต้นนี้..เป็นการพูดคุยกันในเว็บบอร์ดที่นิสิตถามถึง Bauhaus เอากันพอรู้และพอไปสืบค้นกันต่อได้…. แต่ผมเห็นว่ายังไม่จุใจนัก เห็นควรย้อนรำลึกไปถึงแนวคิดสถาปัตยกรรมของยุค “ทันสมัย” ซึ่งมีอิทธิพลทางความคิดเรื่องสถาปัตยกรรมของผมแต่เริ่มแรก และจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยัง “ติดกับ” ทางความคิดนี้อยู่ เช่นเดียวกันกับท่านอื่นที่มีอายุในรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม และเชื่อว่ายังคงยึดความคิดนี้อย่างมั่นคงโดยเฉพาะในการเรียนการสอนของคณะฯนี้อย่างไม่ยอมเสื่อมคลาย..ในด้านผลงานทางวิชาชีพที่ปรากฎปัจจุบันก็ยังหลีกเลี่ยงไม่พ้น หรือยังไม่ริเริ่มขยับไปสู่การปฏิเสธและเปลี่ยนแปลงกันเลย ความคิดของยุค “ทันสมัย” นี้ครอบคลุมไปทั่ว ไม่เฉพาะในด้านสถาปัตยกรรมและศิลปะที่คุ้นเคยกัน แต่ยังแผ่ไปถึงทัศนะคติและความคิดในด้านการเมือง การปกครอง การบริหารจัดการ และที่สำคัญคือในด้านการศึกษา ที่ยังให้ความสำคัญกฎเกณฑ์เดียวที่เคร่งครัดในทุกๆสถาบันที่เกี่ยวข้อง แม้มีลักษณะสาขาวิชาที่แตกต่างกัน แต่ก็ถือเอาความชำนาญการของผู้สอนเป็นศูนย์กลาง มากกว่าการยอมรับประสบการณ์และความรู้เดิมเฉพาะของผู้เรียน การศึกษาในคณะเราฯยังเป็นลักษณะ “เบ้าหลอม” ให้ผู้เรียน มากกว่าการฝึกฝนเพื่อสร้างองค์ความรู้ให้เกิดได้เองในแต่ละผู้เรียนด้วยตนเอง…นี่ยังเป็นปัญหาในการศึกษาที่ต้องมีการตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดความสมดุลป์ในโอกาสต่อๆไป |

<> <>
<>
ภาพปก the first Bauhaus manifesto,1919 โดย L.Feininger<>

<>
จะว่าไปแล้ว Bauhaus ยังถือเป็นก้าวหนึ่งของประวัติศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสถาปัตยกรรมและทัศนศิลป์ในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะเป็นช่วงหลังสงครามครั้งแรก แนวคิดอิสระและความต้องการประชาธิปไตยได้เริ่มขึ้น ประจวบกับการเริ่มยุคอุตสาหกรรมด้วย ศิลปะแต่เดิมซึ่งไม่สอดคล้องก็จะต้องเปลี่ยนแปลงกันตามยุคสมัย อีกทั้งวิธีการสอนสถาปัตยกรรม ก็เน้นเรื่องการปฏิบัติในด้านทักษะฝีมือ ลักษณะห้องเรียนแบบห้องปฏิบัติการเกิดขึ้นอย่างจริงจัง การปรึกษาพูดคุยระหว่างศิษย์อาจารย์มีความใกล้ชิดมากขึ้น และเน้นเป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ แล้วก็หวังว่าเขาเหล่านั้นจะนำไปสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของตนเองต่อไป ไม่เน้นแค่ความรู้ด้านทฤษฎีเท่านั้น หากยังต้องสามารถตอบสนองในทางปฏิบัติด้วย ตามความหมายของ Bauhaus คือ การสร้างบ้าน หรือการก่อสร้างอาคาร วิชาหลักทางสถาปัตยกรรม ก็คือการออกแบบและการก่อสร้าง ซึ่งคล้ายๆกับหลักสูตรที่เราเรียนกันในคณะฯนี้… ส่วนในเรื่องวิธีการและเจตนารมณ์เพื่อการบรรลุจุดมุ่งหมายแท้จริงของ Bauhaus ได้หรือไม่นั้นต้องพิจารณาทบทวนกันเอาเอง |
P. Mondrian, Composition in Blue, 1917 | |
กระนั้นก็ตาม..ต้องยอมรับว่า ท่าน Walter Gropius เป็นนักปฏิรูปการศึกษาสถาปัตยกรรมที่สำคัญคนหนึ่งแห่งยุคทันสมัย โดยเฉพาะการเน้นให้นิสิตเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นทางรูปทรงทางศิลปะและอาคารใหม่ๆ ให้ความคิดที่อิสระต่อนักเรียน โดยมีอาจารย์คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด มุ่งความก้าวหน้าและการพัฒนาทางด้านธุระกิจและสังคม โดยไม่ติดยึดกับขนบประเพณีที่เคร่งครัดจนเกินไป สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องการศึกษาที่หมายรวมทัศนะศิลป์อื่น เช่นจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์หรืองานกราพฟิกเข้าด้วยกันของ สาขาสถาปัตยกรรม วิจิตรศิลป์ และศิลปะอุตสาหกรรม จะรวมกันอยู่ในสถาบันเดียวกัน แม้ว่า Bauhaus จะถูกปิดตัวเองในเยอรมันอย่างเด็ดขาดโดยพรรคนาซีในราว 1933 แต่บทเรียนและวิธีการสอนได้ขยายอิทธิพลต่อโรงเรียนสถาปัตยกรรมทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เช่นที่มหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด ในเมืองบอสตัน และที่มหาวิทยาลัยไอไอที ในเมืองชิกาโก ฯลฯ และสำคัญที่สุดคือที่โรงเรียนสถาปัตยกรรมของเมืองไทยทั้งหลายในปัจจุบัน |
สำหรับหนังสืออื่นที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรมทันสมัย… เช่น History of Modern arfchitecture..vol.2 .. The modern movement เขียนโดย Leonardo Benevolo ในปี 1977 รวมทั้งเรื่อง Moderne Architecture ของ J. Joedicke เขียนในปี 1969 (มีในห้องสมุดคณะฯเราเช่นกัน) ฯลฯ ก็ได้กล่าวถึงอิทธิพลทางความคิดของ Bauhaus ด้วย และสะท้อนแนวคิดสถาปัตยกรรมทันสมัยได้อย่างชัดเจน แนวความคิด “ทันสมัย” -Modernism หนังสือดังกล่าวข้างต้นนี้ ถือเป็นคัมภีร์ร่วมสมัยแห่งยุค “ทันสมัยนิยม”…Modern Architecture ตรงกับยุคแห่งความก้าวหน้าแห่งอุตสาหกรรม แนะนำการออกแบบด้วยระบบก่อสร้างสำเร็จรูป การเน้นความสำคัญของกระจกและเหล็กอันเป็นวัสดุก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม เน้นความประหยัดตรงไปตรงมาในเรื่องการใช้สอย ตัดความฟุ่มเฟือยหรูหราทางอารมณ์หรือการเอาใจใส่ในรายละเอียดปลีกย่อยของสถาปัตยกรรมทิ้งไป คิดกันตามยุคสมัยของ Machine Age คิดเป็นเหตุเป็นผล คิดเป็นเชิงเส้นตรงทางคณิตศาสตร์ เช่น สองบวกสองต้องเป็นสี่ สถาปนิกถือเป็นผู้รู้ ผู้นำทางความคิดทางสถาปัตยกรรม กลุ่มสถาปนิก Bauhaus ถือเป็นผู้นำทางวิชาการหนึ่งของสถาปัตยกรรม สร้างอิทธิพล |

<> <>
<>
The Aubette dance hall in Strasbourg,1926 by T. Van Doesburg and J. Arp<>
![]() | |
ทางด้านการศึกษาสถาปัตยกรรมแพร่หลายไปทุกประเทศ ทฤษฎีทางจิตวิทยา Gestalt เป็นบริบทสำคัญในการเรียนรู้ด้าน Visual art หรือศิลปะนิยมเบื้องต้นของโรงเรียนสถาปัตยกรรมรวมทั้งในเมืองไทย ศิลปะแบบนามธรรม เน้นความรู้สึกทางเส้นตั้ง เส้นนอน เส้นทะแยง และสีสรรค์ที่สื่อความหมายง่ายๆทางอารมณ์ความรูสึก อาคารสถาปัตยกรรมส่อไปทางศิลปะแบบนามธรรมตามความเข้าใจเฉพาะของกลุ่มวิชาชีพสถาปนิกและศิลปินนำสมัย หลายงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากผู้ใช้ในกาลต่อมา ที่แสดงความจริงที่ล้มเหลวสำหรับบุคคลทั่วไป เช่นเดียวกับกระบวนความคิดได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุค “หลังทันสมัย” ต่อมา…ผมเคยโดนตอกย้ำให้มีความคิดออกแบบที่ตามยุคทันสมัย ตั้งต้นกันตั้งแต่การจัดผังบริเวณ หรือแผนผังของอาคารต้องกระทำเสมือนภาพศิลปะนามธรรมที่มีสัดส่วน และเป็นโครงร่างของการจัดเรียงเป็นองค์ประกอบรวม … composition ที่สวยงามเหมือนเช่นงานออกแบบของท่าน Walter Gropius ในสมัยนั้น..คือสนองกันให้เห็นแม้กระทั่งนกที่บินผ่าน ว่าศิลปะแบบนามธรรมนั้นสำคัญไฉน ศาสตร์แห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคนั้นจะรับรู้กันได้ดีต้องฝึกฝนกัน หลายคนวิจารณ์กันว่า คุณค่าของรสนิยมทางศิลปะและสถาปัตยกรรมถูกผูกขาดโดยกลุ่มคนประเภท elite group หรือ Architect People เท่านั้น และสถาปนิกปูชนียบุคคล ที่เหล่าสถาปนิกทันสมัยเคารพในความคิด และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการศึกษาสถาปัตยกรรมในเมืองไทย ก็ได้แก่สี่ท่านนี้ (อย่างน้อย) คือ Walter Gropius, Mies van de Rohe, Le Corbusier และท่าน Frank Lloyd Wright เฉพาะสามท่านแรก ถือเป็นผู้นำและมีอิทธิพลทางความคิดของสถาปัตยกรรมยุคทันสมัย |
the Marin County Government Center ออกแบบโดย Frank Lloyd Wright | |
แต่ท่านหลังนี้ผลงานและความคิดร่วมสมัยของท่านไม่สู้จะละม้ายไปกับท่านอื่นๆ หากค่อนไปทาง Oriental ทางด้านเอเซีย และรูปทรงอาคารก็ค่อนข้างหลากหลายรสสุนทรีย์ และยังมีตำแหน่งพอวางลงไว้ในยุคไฮเท็คปัจจุบันได้เพราะมีอาคารบางหลัง เช่น the Marin County Government Center ซึ่งท่านนี้ออกแบบให้ปรากฎไว้นานแล้ว ก็ยังมีนักสร้างภาพยนต์แนวล้ำยุคปัจจุบัน เคยถูกเอาไปทำเป็นฉากสถานที่ของภาพยนต์เรื่องนั้น (Gattaca) โดยไม่เป็นที่เคอะเขินของผู้ชมอย่างผมได้เลย |
The Bauhaus Building,1926 by Walter Gropius | |
![]() | ![]() |
รูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมทันสมัยตามความคิดของ Bauhaus สะท้อนได้ชัดเจนคืองานออกแบบของ Gropius คืออาคารของ Bauhaus นั่นเอง เช่น การใช้ผิวปูนฉาบเรียบสีขาว เน้นความสัมพันธ์ทางรูปทรงทางเรขาคณิต โดยมีวัสดุอื่นเป็นส่วนรอง ที่ทั้งหมดตระหนักถึงการดูแลรักษาเป็นสำคัญ ลวดลายของผืนผิวรอบนอกอาคาร ไม่เน้นเครื่องตกแต่งอื่น นอกจากการจัดช่องว่างหน้าต่างและช่องปิดของกำแพงส่วนยื่นและส่วนเว้าต่างๆ ให้เป็นโครงร่างดังงานทัศนศิลป์สมัยใหม่ เช่น Mondrianในขณะนั้น คุณค่าสถาปัตยกรรมไม่เพียงแค่อาคารเท่านั้นยังรวมไปถึงความต้องการทางสังคม คุณค่าการมีชีวิตอยู่ร่วมกันด้วย ไม่พึ่งพาเพียงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับธรรมชาติเท่านั้น หากยังเสริมสร้างโดยเพิ่มเอกภาพแบบใหม่ระหว่างศิลปะและเรื่องของวิทยาการใหม่ๆด้วย |
Houses for Bauhaus teachers, Dessau | |
ในบริบทของชุมชนเมือง แนวคิดทันสมัยเน้นความซ้ำซากของอาคารวางเรียงกันเป็นแถวเป็นแนว หรือไม่ก็เว้นระยะห่างระหว่างอาคารไว้มากมายพอเป็นที่รองรับการจอดหรือแล่นของรถยนต์ ซึ่งเป็นผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่เด่นชัดของยุค Corbusier ถึงกับนำจินตนาการของเมืองน่าอยู่ในอนาคต…the Plan Voisin มาเรียบเรียงเป็นหนังสือทั้งสองเล่ม ชื่อ Vers une architecture (Towards a New Architecture) และ Urbanisme (The City of Tomorrow) สะท้อนโดยผลงานออกแบบเมืองหลวงใหม่จันดีกราห์ ที่หลงเหลือไว้ในประเทศอินเดียปัจจุบัน พอๆกับสิ่งทันสมัยอื่นของเทคโนโลยีของการก่อสร้างและผลิตวัสดุเป็นชิ้นส่วนสำเร็จรูป วัสดุกระจกและเหล็ก อันถือเป็นสดมป์หลักที่กำหนดรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและระบบการก่อสร้างในยุคทันสมัยทีเดียว นักสังคมวิทยา เช่น Robert Gutman วิจารณ์คุณค่าของชีวิตในชุมชนที่ขาดหายไปอย่างรุนแรง โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยที่เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะหลังหลังสงคราม |
Views of the Plan Voisin by Le Corbusier,1925 | |
แต่ทว่า…ในช่วงเวลานั้น ต้องยอมรับว่าการปฏิรูปการศึกษาสถาปัตยกรรม และการออกแบบของ Gropius จัดเป็นพวกหัวก้าวหน้า ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นในทุกขนาดของสภาพแวดล้อม และในทุกขนาดของการผลิตทางอุสาหกรรม ในระบบความคิดใหม่ของรูปลักษณ์ที่สนองตอบตามสภาพความเป็นจริงขณะนั้น วัตถุประสงค์แม้ไม่ปรับเปลี่ยนในทางวัฒนธรรมมากนัก แต่ทว่ามีการปรับเปลี่ยนบางส่วนสำหรับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องวิธีการ การให้คำตอบไม่เป็นแบบสำเร็จรูป แก้ปัญหาอย่างมีขั้นมีตอน นำการเปลี่ยนแปลงที่เกิดอย่างต่อเนื่องของสิ่งเกี่ยวข้องในแต่ละสถานะการณ์มาร่วมเป็นสาระในการพิจารณาในการแก้ปัญหาด้วย สำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องการวางผังเมืองและออกแบบสถาปัตยกรรม ในแนวคิดของ Bauhaus พอสรุปได้ คือ…
|
Le Corbusier มีประวัติโดยย่อ… เกิดที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมือง la Chaux de Fond ชื่อเดิมว่า Charles E. Jeanneret เลิกเรียนในโรงเรียนสถาปัตยกรรมกลางคัน แต่ไปฝึกและทำงานกับ Perret & Behren ในราวปี 1908 แล้วเดินทางไปทั่วยุโรปและตะวันออก เป็นศิลปินวาดภาพด้วย เคยก่อตั้งชมรม Purist movement กับ Ozenfant ในปี 1919 งานของเขาจึงสะท้อนแนวคิดของ Purism คือกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด ใช้รูปแบบที่ง่าย ยอมรับกระบวนการทางศิลปะและธรรมชาติเป็นเรื่องเดียวกัน รวมเอาภาพวาด ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือน Gropius ในแง่ที่มุ่งหมายเอาชนะความขัดแย้งระหว่างขบวนการทางเทคนิคก้าวหน้าและพัฒนาการทางศิลปะในขณะเดียวกัน ระหว่างผลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เพราะตามประเพณีของฝรั่งเศษ เทคนิคและศิลปะมีคุณค่าเป็นลักษณะคู่ขนานกัน… คือว่า วิศวกรนั้นถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์ข้อบังคับของเศรษฐศาสตร์ และถูกนำความคิดโดยการคำนวณ ทำให้เรายอมรับในกฎเกณฑ์ของจักรวาล ขณะที่สถาปนิกนั้น สร้างสรรค์รูปทรง กำหนดระเบียบซึ่งเกิดจากจิตวิญญาณให้เป็นสิ่งสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ |
Corbusier เขียนไว้ใน Vers une architecture ว่า มวลที่ง่าย -ผืนผิว เป็นตัวกำหนดในความหมายของเส้นสายและทิศทางของมวล –แปลนคือหลักของการกำเนิดรูปทรง เป็นสามสิ่งที่สถาปนิกพึงตระหนักไว้…สถาปัตยกรรมต้องถูกบังคับโดยระเบียบของเส้นเชิงเรขาคณิต..องค์ประกอบสำหรับสถาปัตยกรรมใหม่ต้องสะท้อนให้เห็นผลผลิตทางอุตสาหกรรม เหมือนเช่น เรือเดินทะเล เครื่องบิน รถยนต์ ….วิถีทางสำหรับสถาปัตยกรรมใหม่คือ ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการเสริมค่าของวัตถุดิบ ลักษณะด้านนอกมีผลของการสะท้อนจากด้านใน รูปโครงร่างโดยรวม เกิดจากการสร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์…บ้านอยู่อาศัยต้องเป็นสิ่งของสำเร็จรูป เหมือนเครื่องจักรกลที่มีชีวิต….หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและวิทยาการบ่งบอกความจำเป็นในการปฏิวัติทางสถาปัตยกรรม |
แสดงสัดส่วนตามทฤษฎี Modular ของ Corbusier | |
อ้างอิงจาก http://pioneer.chula.ac.th/~yongyudh/book1/modern.html |

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น